ภาษาญี่ปุ่น...ง่ายนิดเดียว

ฉันมี passion เกี่ยวกับการเรียนภาษาต่างประเทศ (แถบเอเชียตะวันออก) อยู่บ่อย ๆ ส่วนใหญ่มันมักจะเริ่มต้นมาจากการฟังเพลง พอชอบเพลงก็อยากอ่านชื่อเพลงออก อยากรู้ความหมาย และอยากรู้อื่น ๆ อีกมากมาย ซึ่งต้องใช้ภาษาเป็นประตูผ่านเข้าไป

ว่ากันว่าเราสามารถเรียนรู้ภาษาต่างประเทศด้วยตัวเองได้ ฉันก็เชื่ออย่างนั้นนะ เวลาเราเรียนภาษาจากการดูหนัง ฟังเพลง มันจะจำได้เร็วและจำได้นาน แต่ passion ในการเรียนภาษาของฉันมักจะไม่ค่อยยั่งยืนเท่าไหร่ หลังจากเริ่มจำตัวอักษรได้นิดหน่อย จำประโยคง่าย ๆ ได้นิดหน่อย ความรู้สึกอยากรู้อยากเรียนก็หมดพอดี

การเรียนภาษาญี่ปุ่นของฉันมีชะตากรรมไม่ต่างกัน แต่ที่ตัดกันไม่ขาดก็เพราะว่ามีคนรู้ภาษาญี่ปุ่นอยู่รอบตัว ฉันเลยทำตัวเป็นพวก japanism ได้บ่อย ๆ (ทั้ง ๆ ที่ก็รู้แค่ภาษาเค้าแค่เบ ๆ เท่านั้น ถ้าใครเคยดู Last Life in the Universe แล้วจำลุงที่พยายามสื่อสารกับพระเอกบนรถไมโครบัสได้ นั่นละ ๆ ฉันเป็นแบบนั้นเลย)

เรียนภาษาญี่ปุ่นเล่น ๆ ไปเป็นปี ๆ ๆ ถึงเริ่มรู้สึกว่าฉันชอบภาษานี้จริง ๆ จัง ๆ ขึ้นมาแล้วล่ะ แต่ปัญหามันอยู่ที่การเรียนภาษาของฉันมันไปไม่ถึงไหนเพราะเริ่มต้นจากพื้นฐานที่ไม่รู้ว่าอะไรถูก อะไรผิด ทั้งพูด-อ่าน-เขียน

“การเรียนบางอย่างเราก็ต้องมีครูนะ” เพื่อนคนหนึ่งบอกด้วยความหวังดี

เดิมทีฉันไม่อยากไปเรียนตามโรงเรียนเพราะคิดว่ามันดูจริงจังเกินไป เดี๋ยวเกิดไม่สนุกขึ้นมา อาจจะไม่อยากเรียนไปเลยก็ได้ แต่เพราะเชื่อคนง่าย ก็เลยพาตัวเองไปสมัครเรียนเรียบร้อยโรงเรียนภาษาญี่ปุ่น

การเรียนในโรงเรียนไม่น่ากลัวอย่างที่คิด มันน่าสนุกกับการที่เราได้รู้อะไรใหม่ ๆ เสียแต่ไม่ค่อยมีเวลาทบทวนบทเรียนเท่านั้นเอง แต่เพื่อนร่วมชั้นเรียนคนอื่นจะคิดยังไงไม่รู้เหมือนกัน เมื่อเวลาผ่านไป ๆ ในคลาสที่มีคนเรียนเต็ม 30 คน ก็ค่อย ๆ ลดจำนวนลงเรื่อย ๆ บ่อยครั้งที่มีคนมาเรียนไม่ถึง 10 คนด้วยซ้ำ จนเซ็นเซ (คุณครู) สาวชาวญี่ปุ่นทำท่าร้องไห้แบบการ์ตูน ๆ ทุกครั้งที่เห็นคนมาน้อย...สำหรับคนญี่ปุ่นที่ทำอะไรจริงจังมาก ๆ อาจจะไม่เข้าใจคนไทยที่ชอบทำอะไรสบาย ๆ ก็ได้

ส่วนเซ็นเซคนไทยพยายามให้กำลังใจ (ก่อนที่จะไม่มีนักเรียนเหลือให้สอน) โดยบอกว่าถึงภาษาญี่ปุ่นมันอาจจะยากซักหน่อย แต่ขอให้นึกถึงเป้าหมายเอาไว้ ว่าเรามาสมัครเรียนภาษาญี่ปุ่นเพราะอะไร

ฉันกลับมานั่งนึกถึงเป้าหมายของตัวเอง ไม่น่าเชื่อว่ามันมีแต่เรื่องไม่เป็นเรื่องทั้งนั้น อย่าง...อยากดูหนัง ดูละคร ฟังเพลง ดูรายการทีวี เข้าเว็บไซต์ภาษาญี่ปุ่นได้เข้าใจมากกว่าเดิม เข้าถึงมากกว่าเดิม หรือแม้แต่ไปเที่ยวญี่ปุ่นได้สนุกกว่าเดิม...แค่นั้นเอง

การได้ทบทวนแบบนี้ทำให้ได้คำตอบว่าทำไมเวลาเรียนคำศัพท์พวกโต๊ะ เก้าอี้ ร่ม ห้องประชุม ธนาคาร ฯลฯ ถึงจำไม่ค่อยได้ซักที

ไม่เหมือนคำศัพท์ที่ได้จากเพลงหรือหนัง อย่าง

めぐりあい (meguriai) พบโดยบังเอิญ
しあわせ ( shiawase) ความสุข
いつまでも (itsumademo) ตลอดไป
だきしめる (dakishimeru) กอดแน่น ๆ
好きだよ (sukidayo) รักนะ


ถึงจะใช้ตั้งหลายตัวอักษร มีตั้งหลายพยางค์ แต่จำได้ง่ายกว่าแยะเลย ;)


การเรียนภาษาญี่ปุ่นครั้งนี้เป็นประสบการณ์ที่แปลกใหม่ดี เป็นครั้งแรกที่เรียนกับครูที่อายุน้อยกว่า แถมตัวเองก็ติด Top 5 ผู้อาวุโสในห้อง ในขณะที่เพื่อนในชั้นบางคนน่ะ...อายุน้อยมากขนาดเป็นลูกได้เลย -_-'

หลายวันก่อนเซ็นเซหนุ่มน้อยที่สอนประจำไม่มา แต่ส่งครูหนุ่มอีกคนมาสอนแทน ครูคนใหม่ไม่รู้ชื่อนักเรียน เลยเรียกตามลักษณะที่เห็น ฉันเลยกลายเป็น “น้องเสื้อฟ้า” :D
บทเรียนวันนั้นมีประโยคถาม-ตอบเรื่องอายุด้วย (ไม่รู้ทำไมต้องเป็นวันนี้)
เซ็นเซเลยได้รู้ว่า ที่เรียก "น้อง" น่ะ จริง ๆ แล้ว เป็นรุ่น “ป้า” แล้วต่างหาก

Comments

mandymois said…
แกถึงกับใช้คำว่า passion สำหรับการมาเรียนภาษาญี่ปุ่น
สำหรับชั้นแล้ว แค่ inspiration ยังมิมีเรย
แค่อกหักมาจากภาษาสเปนทะนั้นเอง
Anyway ขอบคุณนะเต่าเหงาที่แกพาชั้นมาสู่ดินแดนที่แสนสนุกสนานแก่ง Nihongo สนุกจังเลย
นี่ชั้นว่าชั้นจะตั้งใจเรียนแล้วนะ
แกจะว่าไงถ้าชั้นไปลงเรียน Y1 อีกที
แบบว่าอยากเรียนตัวหนังสือให้มันแม่นๆ
สู้ๆ นะเจ้าเต่า
ไหนๆ ก็มาถึงขั้นนี้กันแล้วนี่